ปี: 2022

หลายคนอาจจมองว่า อาการซึมเศร้าหรื โรคซึมเศร้า นั้น เป็นอาการที่เราจะต้องซึมเศร้าอยู่ตลอดเวลา แต่รู้หรือไม่ว่า อาการโรคซึมเศร้านั้นก็สามารถที่จะแสดงออกมาผ่านทางรูปแบบอื่น ๆ ก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นกับทางอารมณ์ หรือความรู้มากกว่า เรียกได้ว่าเป็นอาการยอดฮิตสำหรับวัยทำงานเลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นอาการที่มีความอันตราย

ซึ่งสามารถคร่าชีวิตของเราไปเลยก็ว่าได้ เนื่องด้วยสาเหตุนี้อาจทำให้หลาย ๆ คนเกิดความเกรงกลัวว่าตนเองนั้นมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ โดยปกติแล้วอาการซึมเศร้ามักที่จะมีสาเหตุมาจากความเครียดสะสม

เพราะการใช้ชีวิตของคนเราในสมัยนี้นั้นเต็มไปด้วยความเครียด หรือความกดดันต่าง ๆ มากมายจนส่งผลให้ความเครียดสะสมมาเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นอาการซึมเศร้าขึ้นมาในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคซึมเศร้าสำหรับผู้ชาย ซึ่งจะมีความแตกต่างไปจากผู้หญิงตรงที่ มีปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการนอน ไร้อารมณ์ เฉยชา หรืออาจมีอาการเบื่ออาการก็ได้ ดังนั้น เราไปดูกันดีกว่าจะมีอาการไหนบ้างที่สามารถบ่งบอกได้ว่าผู้ชายเป็นโรคซึมเศร้า ไปดูกันเลย 

อาการหมดความสนใจในการทำงาน ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า มักที่จะมีความเบื่อหน่าย  หมดกำลังใจในการทำงาน หรือหมดความสนใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นกิจกรรม หรือเป็นงานที่ตนเองชอบมากแค่ไหนก็ตาม ขอบอกเลยว่าสำหรับใครที่รู้สึกว่าตนเองมีอาการดังกล่าวนี้ อาจบ่งบอกได้เลยว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าแล้วอย่างแน่นอน 

มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ แน่นอนว่าผู้ช่วยคนไหนที่มีอาการซึมเศร้า นอกจากจะมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแล้วนั้น ยังอาจส่งผลไปยังเรื่องเพศอีกด้วย ยิ่งถ้าใครที่คิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของเพศ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางไหนก็ตาม หากหมดความสนใจ หรืออาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอบอกเลยว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้าแล้วอย่างแน่นอน 

มีความคิดฆ่าตัวตาย หลายคนอาจจะมองว่าโรคนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับทางจิตใจ หรืออารมณ์ เพียงแค่เราไม่ไปพูดอะไรที่มันกระทบจิตใจผู้ป่วยก็อาจไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่รู้หรือไม่ว่า แท้ที่จริงแล้วผู้ป่วยอาจจะมีปัญหาในใจอยู่ลึก ๆ แล้วก็ได้ เพียงแต่เราไม่รู้ก็ได้ ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เขาอาจจะเก็บไว้คิดคนเดียว คิดจนหมดหนทางในการแก้จนมีความคิดที่อยากจะตัดปัญหา ซึ่งนั่นก็คือการฆ่าตัวตาย

 

สนับสนุนโดย.    เครื่องช่วยฟัง

ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ ปัจจุบันนี้หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องโรคไบโพล่าร์กันมาแล้วอย่างแน่นอน โดยโรคนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ อารมณ์แปรปรวนขึ้นๆลงๆ หรืออาจมีอาการที่ไม่คงที่ ซึ่งโรคนี้ถือเป็นโรคหนึ่งที่มีความน่ากลัวเป็นอย่างมาก เพราะหากใครที่เป็นแล้วก็อาจมีอาการที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ โดยเฉพาะในด้านของอารมณ์

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงสงสัยว่าโรคไบโพล่าร์นั้น หากเป็นแล้วจะสามาระรักษาให้หายได้หรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรคไหนก็ตาม หากเราเข้ารับการรักษาเร็ว โอกาสในการรักษาให้หายนั้นก็มีมาก แต่เมื่อไหร่ที่เราปล่อยให้โรคเดินทางเข้าสู่ระยะที่ร้ายแรงมากขึ้น

โอกาสในการรักษาให้หายนั้นก็มีน้อยมาก ๆ ดังนั้น การที่เราคอมสังเกตอาการ หรือร่างกายของตนเองอยู่เสมอก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลก แต่เป็นเรื่องที่ดีต่างหาก ดังนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับวิธีการรับมือ เมื่อเราตกเป็นเยื่อของโรคไบโพล่าร์ ซึ่งสำหรับใครที่กำลังเป็นกังวลอยู่ วันนี้เรามีวิธีการที่จะช่วยให้คุณนั้นป้องกันการเป็นไบโพล่าร์เบื้องต้นได้ง่าย ๆ จะมีอาไรกันบ้างนั้นไปดูกันเลย 

การหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่กระทบกระเทือนจิตใจ อย่างที่เรารู้ดีว่าผู้ป่วยไบโพล่าร์นั้นจะมีอาการขึ้น ๆ ลง ๆ ดังนั้น วิธีการรับมือกับผู้ป่วยที่ถูกต้องคือ การหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หรือถ้อยคำที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจของผู้ป่วย เพราะการที่เราใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไป อาจส่งผลกระทบไปยังอารมณ์ของผู้ป่วยได้ ซึ่งแน่นอนว่าอาจส่งผลให้โรคมีอาการกำเริบขึ้นมาได้นั่นเอง ดังนั้น ควรเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสม หรือควรเข้าใจหรือรับฟังในสิ่งที่เขาพูดด้วยเช่นกัน

  การพูดคุยในเรื่องความสบายใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ป่วยนั้นมีอาการที่ไม่คงที่ และมักมีอาการที่ผิดปกติอยู่เสมอ และผู้ป่วยจะคิดเสมอว่าตนเองเป็นผู้ที่มีควาสุข และไม่ค่อยที่จะยอมรับว่าตนเองนั้นเป็นผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ ดังนั้น การรับมือกับผู้ป่วยดังกล่าว เราควรให้ความสำคัญกับคำพูด และการพูดคุย ซึ่งเราควรพูดคุยกะบผู้ป่วยไปในทางที่ดี ทำให้ผู้ป่วยเกิดความสบายใจมากจะดีที่สุด 

ไม่ควรคิดว่าคนคิดของอีกฝ่ายไม่เป็นความจริง ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง เนื่องจากเกิดขึ้นกับสภาพร่างกายที่ไม่คงที่ เราก็ไม่ควรไปคิดว่าความคิดของเขานั้นไม่เป็นความจริง เราควรที่จะสนับสนุ และให้กำลังใจ เพื่อให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาจากความรู้สึกก็ตาม อย่าไปคิดว่ามันไม่สำคัญ เพราะเราครให้ความสำคัญต่อเขาเสมอ 

 

สนับสนุนโดย.    แทงหวยจับยี่กี

การทำให้หน้าพังเร็ว สำหรับสาวๆคนไหนที่ชื่นชอบในวิธีการนอนเช่นนี้คุณจะต้องระมัดระวังแบบสุดๆนะคะ เพราะว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเช่นกันนะว่ามันจะส่งผลต่อผิวหน้าของเราเอง ซึ่งอาจจะทำให้หน้าของเรานั้นเกิดการโทรมได้ หรือการเกิดสิวได้ง่ายเช่นกัน โดยบางคนก็ทำให้หน้าหมองคล้ำ และทำให้ผิวของเราแก่เร็วมีริ้วรอยเยอะขึ้นได้

ในวันนี้เราจะมาแนะนำให้ทราบกันนะว่ามีอะไรบ้างที่สาวๆไม่ควรที่จะทำเลย โดยถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้รับรองได้ว่าหน้าของสาวๆจะไม่พังเร็วอย่างแน่นอน

การนอนดึกเกินไป 

สำหรับสาวๆคนไหนที่นอนดึกจนเกินไปหรือเกิน5ทุ่มนั้น จะส่งผลให้สิ่งเหล่านี้ไปขัดขวางการทำงานของการฟื้นฟูผิวของเรา นั่นก็คือสำหรับในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ของเราและรวมไปถึงในการฟื้นฟูเซลล์ผิวใหม่ของเราอีกด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงที่เรานั้นทำการหลับสนิทโดยกำหนดเวลาโดยประมาณ ห้าทุ่มนั้นจนไปถึงเวลาประมาณตีหนึ่ง

จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนของทุกคนทำงานและมันจะทำงานอย่างเต็มที่ในเวลานี้ด้วย และเทียบตลอดทั้งวันแล้วถือว่าเวลานี้เป็นการทำงานที่สูงที่สุดเลยแหละ แต่ว่าเราจะต้องทำการหลับให้สนิทนะ ซึ่งจะต้องเป็นช่วงเวลานี้อีกด้วย เนื่องจากว่าฮอร์โมนนั้นมันไม่เพียงช่วยในเรื่องของการเติบโตเพียงอย่างเดียว แต่มันยังช่วยให้ผิวพรรณของเราดีขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นมันจึงได้เป็นการเรียกว่าเป็นฮอร์โมนหน้าเด็กหรือหน้าใสนั่นเองคะ เพราะว่ามันจะช่วยเข้าไปซ่อมในส่วนมี่มรปัญหาเกี่ยวกับผิวของสาวๆนะคะ โดยไม่ว่าจะเป็นอาการแดงหรือเป็นสิวก็ตาม หรืออาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับผิวที่หมองคล้ำ หรือในบางคนที่มีผิวผัดเปรี่ยนหมุนเวียนผิวใหม่ด้วยนะคะ

โดยเซลล์ผิวของเราจะมีอายุและทำการเสื่อมลงในทุกๆวัน ซึ่งทำให้เซลล์ผิวใหม่ของเราจะต้องทำการผลิตขึ้นมาใหม่อีกทุกๆวัน ก็คือในช่วงเวลาเหล่านี้เท่านั้นเองตะ แต่ว่าสไหรับใครที่ไม่ได้ทำการนอนในช่วงเวลาที่กล่าวมานี้นะคะ สังเกตุได้เลยว่าผิวหน้าของเราจะดูโทรม และรูขุมขนจะกว้างกว่าปกติ และจะทำให้หน้ามันมากขึ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นสาวๆที่ทำการนอนดึกเกินห้าทุ่มก็ควรที่จะทำการปับเวลานอนเสียใหม่นะคะและเพื่อให้สาวๆหลับได้สนิทในช่วงห้าทุ่มนี้ได้ก็ควรที่จะเข้านอนโดยประมาณตั้งแต่สี่ทุ่มกำลังดีนะคะ เพื่อหน้าที่อ่อนเยาว์ของคุณเอง  อย่าลืมทำนะ ถ้าใครที่ยังไม่เคยทำเช่นนี้ก็ลองหันมาทำดูจะได้มีหน้าที่เด็กขึ้น

 

สนับสนุนโดย.    huaydee

น้ำประเภทไหนบ้างที่จะช่วยบำรุงไต สำหรับ น้ำผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำแอปเปิ้ลน้ำฝรั่งอะไรทุกๆชนิดเลยน้ำผลไม้ส่วนใหญ่มันจะมีโพแทสเซียมที่สูงและก็ยังมีน้ำตาลสูงด้วย

เพราะว่าการที่จะคั้นน้ำผลไม้ออกมาได้หนึ่งแก้วเราจำเป้นที่จะต้องใช้ผลไม้หลายผลมากเลยยกตัวอย่างเช่นน้ำส้มหนึ่งแก้วกว่าเราจะคั้นออกมาได้เราจำเป็นที่จะต้องใช้ส้มประมาณ4-5ผลเลยทีเดียวดังนั้นก็จะมีส่วนประกอบของโพแทสเซียมแล้วก็น้ำตาลที่สูง

ดังนั้นคนที่เป็นโรคไตในระยะแรกก็ได้ห้ามอะไรสามารถดื่มได้ระยะหนึ่งระยะสองแต่ถ้าเป็นในระยะ3b,4,5,ขึ้นไปแนะนำว่าคุณควรจะต้องหลีกเลี่ยงแล้วและรับประทานเป็นผลไม้สดจะดีกว่านอกจากที่โพแทสเซียมจะไม่สูงแล้วก็จะมีพวกกากใยอาหารก็จะดีต่อร่างกายมากกว่าด้วยแล้วก็สำหรับคนที่เป็นเบาหวานก็แนะนำว่าอาจจะต้องหลีกลี่ยงน้ำผลไม้เช่นเดียวกันน้ำตาลสูงมากๆทานเป็นผลไม้สดก็จะดีกว่า

สำหรับ น้ำเกลือแร่ น้ำแร่ โดยน้ำพวกนี้ก็จะมีส่วนประกอบของโซเดียมแล้วก็โพแทสเซียมที่สูงดังนั้นไม่แนะนำในผู้ป่วยระยะท้ายๆตั้งแต่3b,4,5ขึ้นไปอันนี้ไม่แนะนำเพราะว่าไตมีหน้าที่ในการดูดโซเดียมแล้วก็ขับโพแทสเซียมออก

การที่ดื่มน้ำเหล่านี้เข้าไปเยอะๆก็จะส่งผลทำให้ไตทำงานหนักขึ้นแล้วบางครั้งก็ขับโพแทสเซียมออกได้น้อยก็จะส่งผลทำให้โพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นๆอาจจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ดังนั้นคนที่เป็นโรคไตแนะนำว่าให้ระวังการดื่มน้ำแร่แล้วก็ดื่มน้ำเกลือแร่

สำหรับ น้ำหวาน ซึ่งน้ำหวานทุกชนิดเลยไม่ว่าจะเป็นน้ำเฮบลูบอยน้ำเชื่อมน้ำอะไรต่างๆมากมายที่หวานสำหรับคนที่เป็นโรคไตสามารถดื่มได้ถามว่ามันช่วยบำรุงไตไหมมันไม่ได้ช่วยบำรุงไตอะไรแต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตร่วมกับเป็นโรคเบาหวานแบบนี้ต้องระวังแล้ว

การที่ดื่มน้ำหวานในปริมาณที่มากๆจะส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดของคุณสูงขึ้นๆและอาจจะทำให้ไตวายเร็วขึ้นได้ดังนั้นแนะนว่าสำหรับใครที่เป็นโรคไตร่วมกับเป็นโรคเบาหวานน้ำอาจจะต้องจำกัดน้ำตาลหน่อยรับประทานมากเกินไปมันอาจจะไม่ดี

สำหรับ น้ำสมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น น้ำขิง น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบเตยต่างๆคนที่เป็นโรคไตสามารถดื่มได้ไม่เป็นปัญหาแต่ต้องระวังนิดนึงของน้ำตาลบางคนเวลาที่ดื่มของเหล่านี้แล้วจะเติมน้ำตาลเยอะแนะนำว่าในหนึ่งแก้วไม่ควรเติมน้ำตาลเกินหนึ่งถึง2ช้อนชา

เพราะว่าเกินนี้มันก็จะไม่ดีต่อสุขภาพของร่างกายเช่นกันดังนั้นน้ำพวกนี้คนที่เป็นโรคไตสามารถดื่มได้แต่ให้ระมัดระวังเรื่องของน้ำตาลเท่านั้นเองหลายคนก็คงงจะทราบกันดีแล้วว่าน้ำตาลนั้นเป็นตัวที่ทำให้เกิดโรคต่างๆให้กับร่างกายของตัวเองได้อย่างไรก็ระมัดระวังกันด้วย

 

สนับสนุนโดย.    หวยฮานอย บาทละ 1000

วัคซีน ซิโนฟาร์ม จากการที่รู้ว่าจะมีวัคซีนทางเลือกตัวใหม่ที่จะเข้าเมืองไทยเป็นตัวแรกนั่นคืออะไร ซิโนฟาร์ม วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับซิโนฟาร์มกันว่าประสิทธิภาพดีอย่างไรมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้างเหมาะที่จะฉีดกับใคร

การที่มีข่าวว่ามหาวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะนำเข้าไบโอฟาร์มนี้มาเข้าในเมืองไทยเป็นวัคซีนทางเลือกให้กับคนไทยทีนี่เรามาทำความรู้จักกันว่าวัคซีนซิโนฟาร์มนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรใช้ได้ดีหรือเปล่า วัคซีนซิโนฟาร์มจากการนำเข้าของบริษัทไบโอจีนีเทค

ซึ่งล็อตแรกอย่างที่บอกที่จะเข้ามาหนึ่งล้านโดสตัววัคซีนซิโนฟาร์มผ่านการศึกษาแล้วว่ามีผลการวิจัยว่าเป็นอย่างไรโดยซิโนฟาร์มมีชื่อเป็นทางการว่าBBIBP-CorVเป็นชื่อทางการของวัคซีนตัวนี้ผลิตโดยBeijing lnstitute of Biological Product ของประเทศจีนนั่นเอง

โดยตัวขวดของมันปกติแล้วเราจะต้องเก็บเอาไว้ในอุณหภูมิ2-8องศาแต่ข้อดีของวัคซีนนี้พบว่าตัวขวดของมันมีการเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิมันสามารถบอกได้ว่าอุณหภูมินั้นเหมาะสมหรือว่าผิดพลาดถ้าเกิดว่ามีการเปลี่ยนสีในระหว่างที่เราเก็บแปลว่าเก็บในอุณหภูมิที่ไม่ถูกต้องอาจจะต้องทำการเปลี่ยนตัวยาและขวดนี้ใช้ยาไม่ได้

จากการทดลองในเฟส1และเฟส2ที่ประเทศจีนลงในวรสารทางการแพทย์ในคนที่อายุ18-59ปีจำนวนคน320คนพบว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีและปลอดภัยและทำการศึกษาในเฟสที่3ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรนจำนวน4หมื่นคนอายุตั้งแต่18ปีขึ้นไป

หลังจากทำการฉีดไปแค่หนึ่งโดสพบว่าประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด 50-65% และในเข็มที่ 2 หลังจากฉีดครั่งแรกห่วงกัน 3-4 สัปดาห์พบว่าประสิทธิภาพอยู่ที่ 72-78%ด้วยกันและวัคซีนซิโนฟาร์มเป็นวัคซีนประเภทไหนวัคซีนซิโนฟาร์มเป็นวัคซีนเชื้อตายหรือlnactivated vaccines

เหมือนกับซิโนแวคนั่นเองจากการที่ดูผลงานวิจัยพบว่าเกิดผลข้างเคียงจาก ซิโนฟาร์มได้ถึง40-50% ดูเยอะใช่ไหมแต่อย่าพึ่งตกใจไปผลข้างเคียงที่เยอะทั้งหมดนี้ 40-50% เป็นผลข้างเคียงแบบที่เรารับได้หรือเป็นผลที่ไม่รุนแรงนั่นเองผลข้างเคียงอย่างที่บอกเป็นผลข้างเคียงเล็กๆน้อยๆมีอะไรบ้างเช่น มีไข้ ปวดบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ และ อ่อนเพลีย 40-50%

เพราะฉะนั้นแล้วจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงอยู่2ราย คนที่หนึ่งมีอาการของเส้นประสาทอักเสบ อีกคนมีการอาเจียนที่รุนแรงแต่ผลข้างเคียงที่เกิดจากของเส้นประสาทอักเสบนั้นะบว่าในที่สุดไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีนเพราะคนไข้รายนี้มีประวัติในครอบครัวที่เป็นเส้นประสาทอักเสบอยู่แล้วและอาการรุนแรงที่มีอาเจียนอย่างหนักพบว่าในที่สุดก็จะหายกลับมาเป็นปกติได้เช่นกัน

 

สนับสนุนโดย.    แทงหวยออนไลน์

หลายคนก็ยังสงสัยอยู่ว่าการดื่มน้ำนั้นมันมีประโยชน์กับร่างกายของเราอย่างไรและมันมีความเกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างไรบ้างน้ำถือได้ว่าเป็นตัวหลักในการดำรงชีวิตของเราหากขาดน้ำร่างกายก็จะสูญเสียน้ำทำให้อ่อนเพลียกระหายน้ำดังนั้นแล้วเราจะมาบอกวิธีการดื่มน้ำให้หายสงสัยกัน

สำหรับการดื่มน้ำ หลังออกกำลังกาย อันนี้ถือว่าตรงไปตรงมาแต่จริงๆแล้วการออกกำลังกายถ้าคุณออกกำลังกายเป็นระยะเวลานานเช่นการวิ่งครึ่งชั่วโมงหรือ45นาทีหือ1ชั่วโมงเราขอนะนำให้จิบน้ำตลอดการออกกำลังกายเราไม่จำเป็นที่จะต้องหิวก่อนแล้วค่อยดื่มน้ำเพราะแปลว่าขาดน้ำแล้ว

ซึ่งอาจจะทำให้เราน่ามือเป็นลมตอนที่เราออกกำลังกายก็ได้หรือจะทำให้สมรรถภาพในตอนที่เราออกกำลังกายแย่ลงเพราะฉะนั้นการดื่มน้ำแนะนำให้ดื่มทั้งขณะออกกำลังกายแล้วก็หลังออกกำลังกายก็จะช่วยให้ท่านออกกำลังกายได้นานขึ้นแล้วก็หลังออกกำลังกายก็สดชื่นไม่น่ามืดไม่วิงเวียนไม่เป็นลม

บางคนวิ่งไปสักพักเป็นลมล้มหัวแตกอันตรายก็คือมีอาการวูบแบบนี้โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อนๆแล้วออกกำลังกายแนะนำว่าจะต้องจิบน้ำตลอดเวลาและนี่คือช่วงเวลาที่แนะนำให้ดื่มน้ำก็ช่วงที่ออกกำลังกายและหลังออกกำลังกาย

คราวนี้มาต่อช่วงเวลาของการดื่มน้ำกันบ้างที่แนะนำให้ดื่มน้ำก็คือ ครึ่งชั่วโมงก่อนที่คุณจะรับประทานอาหาร ถามว่าทำไมการดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงมันเป็นการเหมือนกับว่าเข้าไปกระตุ้นเตือนร่างกายบอกว่าเดี๋ยวเราจะกินอาหารแล้วนะเตรียมระบบเพื่อการย่อยอาหารหน่อย

ร่างกายก็จะเริ่มตื่นตัวอยากที่จะย่อยอาหารพอเราทานอาหารหลงัจากดื่มน้ำไปสักครึ่งชั่วโมงแล้วระบบการย่อยอาหารของเราก็จะดีเยี่ยมและยังไม่พอสำหรับคนที่อยากจะลดน้ำหนักการดื่มน้ำสักครึ่งชั่วโมงก่อนทานอาหารจะช่วยทำให้คุณกินปริมาณอาหารลดลง

ซึ่งมันก็ส่งผลโดยตรงต่อน้ำหนักทำให้คุณควบคุมน้ำหนักได้ดีเพราะว่าสมองของเราเวลาที่ทานอาหารเข้าไป10-20นาทีแรกไม่รู้เรื่องเลยทั้งๆที่คุณอาจจะทานสัก2-3จานเพราะว่าคุณเป็นคนทานรู้แต่ว่าสมองยังไม่รู้เลยว่าอิ่มทั้งๆที่จริงๆแล้วได้ไปเยอะแล้วแต่ถ้าคุณดื่มน้ำมาก่อนมันเป็นการกระตุ้นส่งไปที่สมองแล้วบอกว่าเราเริ่มทานแล้วนะ

พอเราเริ่มทานข้าวเข้าไปจริงๆแล้วพอทานไปสัก5-10นาทีถ้าเราเริ่มแน่นหรืออิ่มท้องกระเพาะขยายสมองจะรับรู้เร็วกว่าว่าเราน่าจะอิ่มน่าจะเพียงพอแล้วก็จะทำให้เราทานอาหารไม่มากจนเกินไป

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  aesexy