เดือน: กรกฎาคม 2020

ยุคนี้การลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting หรือ IF นั้นนิยมและฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองเลยละ ใครๆก็หันมาลองลดน้ำหนักด้วยวิธี Intermittent Fasting หรือ IF กันมากมาย และการที่ลดแบบที่ฮิตที่สุดก็คือ IF 16/8 นั้นเอง โดยการลดน้ำหนักสูตรนี้ก็คือการที่เพื่อนๆ ได้กินอาหารในระยะเวลาจำกัดที่ 8 ชั่วโมง และ อดอาหารในระยะเวลาทั้งหมด16 ชั่วโมง นั้นเอง วันนี้เรามาดูเทคนิคการลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting หรือ IF16/8 กันให้ได้ผลดีกว่า ว่าต้องทำอย่างไรกันบ้าง ไปดูกันเลย

อย่าอดอาหารมากเกินไปในช่วงเวลาที่เรากินได้

เพราะการที่หลายๆคนคิดว่าการลดน้ำหนักจะต้องกินไม่เยอะ เลยเอาเวลาช่วงที่กินของการลดน้ำหนักในการทำ Intermittent Fasting มาอดอาหารไปอีก เพียวเพราะต้องกาให้กินอาหารน้อยที่สุด ซึ่งการทำแบบนี้อาจะไม่เวิร์คกับการที่เรากำลังทำ Intermittent Fasting นะ เพราะว่าเราจะได้รับอาหารน้อยเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพเราและทำให้ร่างกายขาดสารอาหารนั้นเอง และถ้าร่างกายไม่แข็งแรงการลดน้ำหนักจะได้ผลช้าหรือไม่ดีเท่าที่ควรแน่ๆ

กินมากเกินไป ในช่วงเวลาที่กินอาหารได้

ตรงกันข้ามหากอยู่ในช่วงเวลาที่กินได้ แล้วเพื่อนๆเลือกจะกินทุกอย่างที่อยากกิน หรือ กินในปริมาณที่เยอะมากเกินไป การลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น เพราะการที่เพื่อนๆกินอะไรตามใจปาก นั้นแปลว่า ทั้งของหวาน ของทอด ของมัน ที่เพื่อนๆกินเข้าไป ในเวลาที่กินได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็นแคลอรี่มหาศาลและการลดน้ำหนักก็จะไม่ได้ผลนั้นเอง เพราะฉะนั้นเพื่อนๆควรอาหารที่ดีในปริมาณที่พอดีไว้นะ

ควรงด ขนมหวาน ของทอด ของมัน 

ช่วงที่ทำ Intermittent Fasting หรือ IF นั้นก็เพราะว่าการที่เราลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting หรือ IF นั้นเราต้องการใหช่วงที่เราอดอาหาร ร่างกายผลิตอินซูลินต่ำ เพราะว่าไม่มีน้ำตาลเค้าไปกระตุ้นนั้นเอง แต่ถ้าเพื่อนๆดันกินของหวานในช่วงที่กินอาหารได้ แล้วน้ำตาลยังคงอยู่ในร่างกาย ถึงแม้ว่าช่วงที่เพื่อนๆอดอาหารแล้วนั้น แทนที่อินซูลินจะทำงานน้อยลง กลับทำงานปกติ เพราะการที่เรากินของหวานเข้าไปเยอะนั้นเอง ทางที่ดีควรงด ส่วนของทอดและของมัน ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเลย เพราะเราต้องการเผาผลาญไขมันออกไป แล้วการไปกินไขมันไม่ดีเข้าไปอีกแบบนี้ก็ยิ่งลดน้ำหนักยากนะสิ

เมื่อเวลาหิว หันไปจิบชาเขียวหรือกาแฟร้อนดูสิ จะช่วยลดความหิวได้ดี 

หลายๆคนอาจจะไม่รู้ว่าในช่วงที่อดอาหารอยู่ก็ยังพอมีเครื่องดื่มให้เราได้ดื่มกันได้อยู่นะ นั้นก็คือชาและกาแฟดำ ไม่นมไม่น้ำตาลไงละ

 

สนับสนุนโดย  rb88 เข้าสู่ระบบ

กรดไหลย้อน ในทางการแพทย์ เรียกว่า Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD จัดเป็นโรคทางเดินอาหารประเภทหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งวัยชรา กรดไหลย้อนหมายถึงภาวการณ์ที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการแสบร้อนรอบๆทรวงอก เรอเปรี้ยวเป็นประจำซึ่งทำให้เกิดผลกระทบอย่างหนักต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ที่มาของโรคกรดไหลย้อน

กรดไหลย้อน มีต้นเหตุจากการมีความประพฤติการกินที่ผิดจำเป็นต้องและทำจนเป็นนิสัย ตัวอย่างเช่น

– การกินอาหารเสร็จแล้วนอนโดยทันที

– การรับประทานอาหารมันๆหรือการทานมากเกินไป จนกระทั่งนำมาซึ่งการทำให้หูรูดส่วนปลายหลอดอาหารมีการเปลี่ยนไปจากปกติขึ้น หรือทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว กรดจากกระเพาะอาหารก็เลยไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อน

เนื่องมาจากตามที่กล่าวมาข้างต้น กรดไหลย้อนจะมีเหตุที่เกิดจากการที่พวกเรามีความประพฤติการกินที่ไม่ปกติ ด้วยเหตุนี้ ปัจจัยสำคัญๆที่เป็นตัวกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคนี้ก็คือ

– สภาวะน้ำหนักเกิน

– ความประพฤติปฏิบัติการกินรวมทั้งนอนโดยทันที

– การกินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างส้ม มะนาวเป็นประจำ

– การกินช็อคโกแลต หรืออาหารที่มีส่วนผสมของมิ้นท์ อาหารพวกนี้จะมีผลให้หลอดอาหารส่วนปลายคลายตัวเป็นประจำก่อให้เกิดการเกิดกรดไหลย้อนได้

– การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ หรือการดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำก็นับได้ว่าเป็นปัจจัยเสริมที่มีส่วนกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดกรดไหลย้อนได้เช่นเดียวกัน

หลักการง่ายๆในการที่เรานั้นจะไม่ก่อให้เกิดการเสี่ยงที่จะทำให้เราเป็นกรดไหลย้อน อันดับแรกเราควรที่จะดูแลเรื่องของอาหารการกินให้ดีเสียก่อน ควรกินอย่างระมัดและระวังให้มากที่สุด และควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมในการปฏิบัติตัวเพื่อไม่ก่อให้เกิดการเป็นโรคได้ สิ่งสำคัญท่านควรที่จะดูแลตัวเอง

โดยการกินอาหารเสร็จแล้วควรที่จะนั่งให้ระบบอาหารมันย่อยเสียก่อน ก่อนที่จะทำการนอนพัก เพราะหากกินแล้วนอนเลยจะเสี่ยงให้เกิดง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญนั้นท่านควรที่จะปฏิบัติตัวเองอย่างถูกวิธีด้วย จึงจะเป็นการช่วยในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งหากท่านสามารถที่จะทำได้ ก็เท่ากับว่าท่านจะไม่เสี่ยงที่จะเป็นนั่นเอง

นอกจากการทานอาหารและการปฏิบัติอย่างถูกวิธีแล้วสิ่งที่สำคัญควรออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ ครึ่งชั่วโมงก็ยังดี เพื่อเป็นการทำให้ร่างกายของคุณนั้นแข็งแรงไปอีกระดับหนึ่ง

 

สนับสนุนโดย  betbbthai